วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2562
ประโยชน์ของการดื่มไวน์
ไวน์ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษยชาติ ดื่มกันมาหลายพันปี แม้ว่ารสชาติจะไม่เหมือนไวน์ในยุคแรกๆ ที่ฉุนจนต้องผสมกับน้ำทะเลก่อนดื่ม แต่ก็คือเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ที่หมักน้ำตาลจากองุ่นจนเกิดเป็นเมรัย ซึ่งไม่ใช่ได้เพียงความเมา หากรู้จักดื่มไวน์ให้เกิดผลดีต่อสุขภาพ คุณค่าก็จะมากมายเกินคาดเลยทีเดียว
ดื่มไวน์ได้อะไร?
- ดื่มไวน์วันละ 1-3 แก้วเป็นประจำ ช่วยลดการเกิดอัลไซเมอร์ และโรคพาร์กินสัน
- ไวน์แดงมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันเซลล์เสื่อมและป้องกันหวัดได้ด้วยนั่นเอง
- ไวน์ขาวช่วยย่อยอาหารและขจัดพิษจากอาหารทะเลที่เป็นอันตรายต่อระบบย่อย
- ไวน์ช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรียชนิดที่อาศัยอยู่ในช่องทางเดินหายใจ ที่จะทำให้เราเจ็บคอ และเป็นไข้
- สารเมลาโทนินในผิวองุ่น ช่วยปกป้องเซลล์จากการถูกทำลาย การดื่มไวน์แดงจึงช่วยชะลอความแก่ได้
- ทั้งไวน์ขาวและไวน์แดง ล้วนมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย การดื่มไวน์วันละ 1 แก้ว จะช่วยลดโอกาสเกิดฟันผุและโรคเหงือก
- ดื่มไวน์วันละ 1-2 แก้ว ช่วยป้องกันโรคหัวใจ แต่ถ้าดื่มมากเกินไปกลับไปเพิ่มความเสียงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
- ผลการศึกษาจากอาสาสมัคร 4,000 คน เป็นเวลา 1 ปี โดยผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัย 5 แห่ง พบว่าผู้ดื่มไวน์มากกว่าวันละ 2 แก้ว จะเป็นหวัดน้อยกว่าผู้ไม่ดื่มไวน์ ถึง 44% ส่วนการดื่มไวน์แดงวันละ 1 แก้ว จะช่วยป้องกันหวัดได้เหมือนกัน
- ไวน์แดงมีส่วนทำให้ความเหนียวข้นของไขมันชนิดคลอเลสเตอรอลตัวร้าย ในเกร็ดเลือดลดลง ทำให้ไม่จับตัวอุดตันตามผนังหลอดเลือด โดยเฉพาะไวน์ขาวจะมีคุณสมบัติเหนือกว่าไวน์แดงในข้อนี้
- ไวน์ที่ผ่านการกรองน้อยที่สุดจะมีสารเรสเวอราทอล (Resveratrol) ที่ช่วยบำบัดความเสื่อมโทรมของหลอดเลือดได้ดี มากกว่าไวน์ที่ผ่านการกรองมาก และไวน์แดงจะดีกว่าเพราะหมักเปลือก เมล็ด กิ่ง ขณะที่ไวน์ขาวนำน้ำองุ่นมาหมักเท่านั้น
เอามาฝากกันเพื่อทางเลือกสำหรับการดูแลสุขภาพ แต่ไม่ได้เอามาไว้ให้อ้างเพื่อเมากันนะคะ จำไว้ว่า ดื่มไวน์วันละ 1-2 แก้ว หรืออาจถึง 3 แก้ว ถือว่ารักษาโรค แต่ถ้าดื่มหนักกว่านี้เป็นประจำคุณจะได้โรคเพิ่มเข้ามาแน่นอนค่ะ
วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2562
ไวน์(wine)
ประเภทของไวน์
ในปัจจุบันมีไวน์อยู่ 5 ประเภทที่คนทั่วโลกนิยมดื่ม โดยแต่ละประเภทมีคาแรคเตอร์ที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นรสชาติ กลิ่น ปริมาณแอลกอฮอล์ รวมถึงปริมาณน้ำตาล ล้วนมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพื่อให้ได้รสชาติไวน์ที่ถูกปาก สามารถเข้ากับอาหารที่รับประทานได้อย่างเพอร์เฟค ควรทำความรู้จักกับไวน์ทั้ง 5 ประเภท ว่ามีรสชาติที่พิเศษแตกต่างกันอย่างไร
White Wine (ไวน์ขาว)
รู้หรือไม่ว่า…ไวน์ขาวไม่ได้ทำจากองุ่นเขียวเท่านั้น ทำโดยองุ่นแดง รวมถึงองุ่นดำสามารถนำมาทำไวน์ขาวได้เช่นกัน สำหรับรสชาติของไวน์ขาวจะมีความเปรี้ยว ดื่มแล้วให้ความรู้สึกสดชื่น
Red Wine (ไวน์แดง)
ไวน์แดง มีวิธีการหมักที่แตกต่างจากไวน์ขาว โดยสีแดงของไวน์มาจากการใส่เปลือกองุ่น ขั้วองุ่น และเมล็ดองุ่นที่นำไปหมักด้วยกัน ซึ่งต้องหมักในอุณภูมิที่สูง เพื่อสกัดเอาสี และทานินที่ให้รสฝาดออกมา สำหรับความเข้มข้นของไวน์ก็ขึ้นอยู่กับว่าใช้ระยะเวลาในการหมักนานแค่ไหน
Rose Wine (ไวน์โรเซ่)
เป็นไวน์ที่มีสีชมพูดอกกุหลาบ ซึ่งเกิดจากการหมักด้วยองุ่นแดง หรือองุ่นดำ โดยจะหมักในช่วยเวลาสั้นๆ ประมาณ 12-36 ชั่วโมง สำหรับรสชาติมีทั้งแบบหวาน รวมถึงให้รสฝาด นอกจากนี้การนำไวน์แดงกับไวน์ขาวมาเบลนด์เข้าด้วยกัน ก็มอบรสชาติของไวน์โรเซ่ที่แปลกใหม่เช่นกัน
Dessert Wine (ไวน์หวาน)
เป็นไวน์ที่มักเสิร์ฟเพื่อเรียกน้ำย่อยก่อนถึงเวลามื้ออาหารหลัก ซึ่งนิยมทานคู่กับของหวานเกือบทุกชนิด รวมถึงของคาวอย่างเนื้อรมควัน และชีส
Sparkling Wine (สปาร์คกลิ้งไวน์)
เป็นประเภทไวน์ที่นิยมดื่มในงานปาร์ตี้สังสรรค์ โดยมาพร้อมรสชาติที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง เหมาะทานคู่กับสลัดผัก ชีส รวมถึงเนื้อปลา
แหล่งที่มา
https://www.monsoonvalley.com/th/articles/_news-blog-list/monsoon_wine_varietals
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)